วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

POEM VALENTINE

POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM
POEM FOR VALENTINE'S DAY

Be My Valentine, My Love

Be my Valentine, my love,
As I will be for you,
And we will love the whole day long,
And love our whole lives through.
For love has no parameters

And does not end with time,
But is the gift of paradise,
A pinch of the sublime.
So let us take this holiday

To resubmit our love
To those within that know no sin
And with the angels move.




POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM


Beautiful Eyes, Beautiful Face

Beautiful eyes, beautiful face,
I'm shy to talk to you.
You're the eagle I must watchNo matter what I do.
You're the beauty,wild and free,

The mistress of my eyes,
Rolling through exultant air,
Alone in pristine skies.
I would take you for my own Could I but have your wings,

Could I but go where night begins And frozen sunlight sings.
Could I but have you for my love,

How might we fly together!But I must watch you from below
And long for you forever.
But I must be the one belowAnd long for you forever.
\


POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM

Happy Valentine, My Love


Happy Valentine, my love!
All my love is yours.
Praised be love that brings us home,
Pilgrims to these shores.
Yearnings here find harborage;Vanities,
sly smiles.All that righteous anger rends,
Love here reconciles.Even in the darkness where
No bitterness finds rest,Thoughts of you are like a dawn
Intent on happiness.Nor would I have so light a heart
Except that I am blessed!


POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM

This Valentine's I Wish that You Were with Me

This Valentine's I wish that you were with me.It's lonelier than most days I'm alone,Even though we'll manage on the phoneTo touch with words the face we cannot see.You away are far more dear to meThan anyone who might remain at home.My love is in the places that you roam,Being with you where I cannot be.We do not choose the objects of our passion,But passively await the holy fireThat immolates our past and lights our fate,Twisting through the alleys of desire.So I am yours, and will contented wait,Allowing love my life and will to fashion.


POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM
You Are My Heart, My Hope, My Help

You are my heart, my hope, my help,
The passion that is me,The whole of which I am a part,

My peace, my ecstasy.
You are my future, present, past,My ship, my sail, my ocean,

The wind that brings me home again,The home for every motion.
You live within me, yet I amWithout you all alone.

With you I am full of light;Without you I am stone.
Is this foolish? Yes, perhaps,But also it is true.

I think of life as something ICan spend with only you.
Ah, my love! Love longs for suchSweet celebrants as this!

Love is a burden and a joy,Slavery and bliss.
This day of love come love with me,Come sing with me my song.

Come be my Valentine, and IWill love you my life long, my love,
Will love you my life long.
POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM POEM

ความสุขของกะทิ


ความสุขของกะทิ



กะทิเป็นเด็กหญิงวัยสิบขวบ อยู่กับตายายที่บ้านริมคลอง กะทิแอบคิดถึงแม่อยู่เงียบๆ แต่กะทิก็เป็นเด็กน่ารักกิริยาดี และมีวุฒิภาวะพอจะไม่ถามไถ่ให้ผู้ใหญ่ลำบากใจ เธอจึงเก็บความรู้สึกคิดถึงและใคร่รู้เกี่ยวกับแม่เอาไว้แต่ในใจเพียงลำพัง เรื่องราวในเล่มเป็นการค้นพบปริศนาถึงชิ้นส่วนที่หายไปในชีวิตของกะทิ
หนังสือเล่มนี้ใช้ภาษาสวย เขียนบรรยายถึงฉากและเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดี ถ้อยคำในเล่มอ่านได้เพลิดเพลินและเย็นชื่นหัวใจ ผู้เขียนเล่าเรื่องโดยแบ่งเป็นภาคใหญ่ๆ คือบ้านริมคลอง บ้านชายทะเล และบ้านกลางเมือง ที่แต่ละภาคบอกเรื่องราวของต่างช่วงเวลาที่เป็นปริศนาในชีวิตกะทิ เริ่มตั้งแต่ปัจจุบัน ย้อนไปให้ได้รู้จักอดีต ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจเลือกทางเดินในอนาคตของตัวละคร
ภาษาการเล่าที่ดีทำให้บ้านริมคลองมีบรรยากาศธรรมชาติชนบทที่สวยงาม ใสสะอาด สงบร่มรื่นน่าอยู่ บ้านชายทะเลมีวิวสวย และบ้านกลางเมืองที่หรูหราทันสมัย เรียบร้อยพร้อมสรรพทุกสิ่งไป การเล่าเรื่องนี้ไม่มีบทพูด เป็นแต่เพียงการพรรณนาเรื่องราว แต่ก็มีเสน่ห์ที่อ่านได้รื่นรมย์ เหมาะสำหรับผู้ที่อยากหาอะไรเบาๆ อ่านให้ชื่นใจได้ความสุขเล็กๆ ประกายขึ้นในใจ หนังสือเล่มนี้มีส่วนเศร้าด้วยก็จริง แต่ก็เป็นความเศร้าที่งดงาม ทำให้รู้สึกดีมากกว่าจะหม่นหมองหัวใจ
ความสุขของกะทิเป็นผลงานเขียนเล่มแรกของผู้เขียน ซึ่งนักอ่านคุ้นเคยกับเธอในฐานะนักแปล แต่แม้จะเป็นงานเขียนเล่มแรก ก็เป็นงานที่แสดงว่าผู้เขียนสามารถทางภาษาและการเล่าไม่น้อยเลย กะทิเป็นเด็กหญิงที่น่ารัก ทำให้คนอ่านนึกเอ็นดูเธอได้ตั้งแต่บทแรกๆ และคนอ่านคนนี้ก็ยิ่งรักกะทิเมื่อรู้ว่าหนังสือที่เธอโปรดปรานคือ บ้านที่มีพ่อหกสิบคน





การจัดรูปเล่มและภาพประกอบของหนังสือก็ทำได้น่ารักสวยงามอย่างลงตัว จึงเป็นหนังสือเล่มเล็กน่ารักที่ชวนอ่านและน่าเก็บ หนังสือเล่มนี้อ่านได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งผู้เขียนเคยกล่าวไว้ว่าผู้อ่านต่างวัยก็จะอ่านได้โดยตีความต่างระดับกันไป (จุดประกายวรรณกรรม ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2546)
คนอ่านผู้ใหญ่คนนี้อดสังเกตไม่ได้ว่าผู้คนที่แวดล้อมกะทิอย่างใกล้ชิด ล้วนแต่มีชีวิตที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นชาติตระกูล การศึกษา ความสามารถในการประกอบอาชีพการงาน ครอบครัวและคนใกล้ชิดของกะทิคุ้นเคยกับต่างประเทศอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในต่างประเทศ การทำงานกับต่างประเทศ คนอ่านจะได้รู้ในไม่ช้าว่าตายายของกะทิที่อยู่ในบ้านริมคลอง แม้จะใช้ชีวิตตามแบบชนบท แต่ก็เป็นผู้ที่มีความรู้ มีฐานะดี มีชาติตระกูล มีประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศ แม้แต่หลวงลุงกับพี่ทอง ศิษย์วัด ก็ได้เดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากญาติโยมนิมนต์ไว้ให้ไปอเมริกา หลวงลุงจึงพาพี่ทองไปเปิดหูเปิดตาประกอบกับหาลู่ทางเรียนต่อ ซึ่งพี่ทองมีความใฝ่ฝันจะเรียนถึงขั้นปริญญาเอก และวางแผนว่าจะสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศเมื่อจบมัธยมหก








กะทิแวดล้อมด้วยความรักเต็มเปี่ยม และมีผู้คนที่แสนดีรอบข้าง เธอจึงมีหัวใจที่งดงามอย่างลึกซึ้งอยู่ภายใน ตัวละครที่มีด้านลบบ้างในเรื่อง ก็ปรากฏตัวเพื่อให้เห็นภาพความเพียบพร้อมของกะทิให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คนอ่านพอเห็นได้ว่ากะทิจะดำเนินรอยตามความรุ่งโรจน์และเป็นผู้หญิงเก่งที่หัวใจงดงามแสนดีในอนาคต แม้ปัจจุบันเธอจะเรียนโรงเรียนวัด อันเป็นโรงเรียนเดียวกับพี่ทอง ลูกศิษย์วัด แต่ก็เชื่อได้ว่าอีกไม่นาน กะทิจะไปเรียนในยุโรปหรืออเมริกา
โลกของกะทิสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้แล้ว เธอจึงมีแต่ความสุข แม้ว่าชีวิตของเธอย่อมมีความทุกข์เช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไป และทุกข์ของเธอก็สาหัสหนักหนาไม่ใช่น้อย แต่ความทุกข์ของกะทิก็ยังเป็นความงดงาม เป็นความดีงามยามรำลึกถึง เป็นความเศร้าที่สวยและโรแมนติก
หนังสือเล่มเล็กนี้อ่านได้เพลินและน่ารักไม่น้อยเลย ชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมของกะทิ ย่อมทำให้โลกของกะทิเปี่ยมความสุขและดีงามอย่างลึกซึ้งนัก

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา



มาฆบูชา เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นวันเกิดพระธรรม ถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้ประกาศ หลักธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มาประชุมกันในวันนั้น นำไปเผยแผ่ วั น"มาฆบูชา" เป็นวันบูชาพิเศษที่ต้องทำในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ ( ซึ่งโดยปกติทำกันในกลางเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด ก็เลื่อนไปกลางเดือน ๔ )ถือกันว่าเป็นวันสำคัญ เพราะวันนี้ เป็นวันคล้ายกับ วันประชุมกันเป็นพิเศษ แห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมาย ซึ่งเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน
วันนี้เอง ที่พระพุทธองค์แสดง "
โอวาทปาฎิโมกข์" ซึ่งถือกันว่า เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ
๑. วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย (
สาเหตุของการชุมนุม)๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖๔. พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)


















โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน
๑. จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)๒. หลักการของพระพุทธศาสนา คือ ต้องมีความอดทน ในการฝึกตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมาย (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา) ต้องประกอบด้วย ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ) ข. ทำความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา) การไม่ทำความชั่วนั้น จะเรียกว่า เป็นคนดียังไม่ได้ การเป็นคนดี จะต้องทำความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ มิฉะนั้นแล้ว คนปัญญาอ่อน คนเป็นอัมพาต เป็นต้น ก็จะเป็นคนดีไปหมด ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบ (สจิตฺตปริโยทปนํ)๓. วิธีการที่จะบรรลุจุดหมาย คือ ต้องฝึกอบรมตนแบบต่อเนื่อง ให้เกิดมรรคสามัคคี คือ
อริยมรรคมีองค์ ๘ ** รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๘ เกลียว หรือให้มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๓ เกลียว พัฒนากาย วาจา ใจ ให้พูดดี ทำดี คิดดี ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โมสะ โมหะ ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา หรือความใคร่ ความอยากมี อยากเป็น แบบมืดบอด ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเป็นคนเสื่อมลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข เป็นต้น โดยอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้. ก. ฝึกวาจา ระวังเสมอ มิให้กล่าวคำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ (อนูปวาโท) ข. ฝึกกาย ระวังเสมอมิให้มีการฆ่า ทำลายชีวิต ตลอดจนถึงการเบียดเบียนทางกาย (อนูปฆาโต) ค. ละเว้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่พระพุทธองค์อนุญาต (ปาฎิโมกฺเข จ สํวโร) ง. รู้จักประมาณในการบริโภค อาหาร ตลอดจน รู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๔ (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺสมึ) จ. ฝึกตนอย่างจริงจัง ในที่ที่สงัดจากสิ่งรบกวน (ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ) ฉ. ภาวนาอยู่เสมอ คือ พัฒนาตนเองให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหา การภาวนา หมายถึง การใช้ทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แก้ปัญหา หรือจัดการกับกิเลส (อธิจิตฺเต จ อาโยโค) เป็นการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ มิให้จิตใจเศร้าหมอง ให้จิตใจผ่องใสอยู่เสมอ (สจิตฺตปริโยทปนํ) จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้จะเป็นไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายไว้นั้น พระองค์ได้ย้ำเตือนไว้ว่า จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นอย่างบรรพชิต และเป็นอย่างสมณะ คือ เว้นจากความชั่วทุกประการ และเป็นผู้ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อระงับบาปอกุศล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นอริยบุคคล ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต)

หมายเหตุ
** อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ สัมมาวาจา การพูดจาชอบ สัมมากัมมันตะ การทำงานชอบ สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ ความพากเพียรชอบ สัมมาสติ ความระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ

อภิญญา ๖
อภิญญา คือความรู้อันยอดยิ่งมี ๖ ประการได้แก่ ๑.แสดงฤทธิ์ได้ (อิทธิวิธิ) ๒.หูทิพย์ (ทิพยโสต) ๓.รู้จักกำหนดใจผู้อื่น (เจโตปริยญาณ) ๔.ระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) ๕.ตาทิพย์ (ทิพยจักษุ) ๖.ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป-คือญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)

สาเหตุของการชุมนุมคงเนื่องมาจากภิกษุเหล่านั้นล้วนเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนและในวันเพ็ญเดือนมาฆะเป็นวันที่ทางศาสนาพราณ์ได้ประกอบพิธีศิวาราตรี คือ การลอยบาปในแม่น้ำคงคา และประกอบพิธีสักการบูชาพระเป็นเจ้าในเทวสถาน เมื่อถึงวันนั้น พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าซึ่งเคยประกอบพิธีดังกล่าวจึงต่างพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Arthur C. Clarke

odyssey1-4
าก บทประพันธ์ ของArthur C. Clarke ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็น เจ้าพ่อแห่งวงการ อวกาศ ถูกนำมาดัดแปลงโดย Stanley Kubrick อัจฉริยะ แห่งวงการ ภาพยนตร์2001 : A Space oddyssey ภาพยนตร์ที่มีภาษาภาพ ช้าเนิบนาบ ราวกับ เป็นการเล่าเรื่องที่เลือดเย็น จนน่าแปลกว่า เมื่อดูครั้งแรก คุณอาจจะไม่ชอบ แต่คุณจะอยากดูอีก ดูอีก และจะรุ้สึกว่ามันเจ๋งขึ้นทุกครั้งที่ได้ชมนี่เป็นหนังscifi สุดๆที่คุณจะไม่พบ อะไรนอกจากความลี้ลับ ของโลกวิทยาศาสตร์ ที่ถูกกลั่นกรองออกมาจาก สมองของ นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะ



วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

NEW YEAR's day

NEW YEAR's day

Thailand is well-known for her festivals which take place all the year round. Most of these festivals are influenced by Buddhist and Brahminical religions, however, with the passage of time a number of them have been adopted in deference to the international practice.
Actually, the official New Year's Day of Thailand has
undergone several changes. Once it used to fall at the end of November. Later, during the reign of King Rama V ( 1868-1910) it was moved to a date round about April and then New Year's Day was changed to April the first. The universal practice of celebrating the New Year on January 1 was adopted in 1941 in deference to the western calendar and this is one of a number of changes aimed at modernising the country.
Though January 1 is regarded as official New Year, the majority of Thais still regard the middle of April (Songkran) as their new year's day, and on this auspicious occasion a week-long celebration is held through out the kingdom. Most of activities on Songkran Day involve water throwing, building sand pagodas and pouring lustral water on the aged as a means of blessing. To be frank, a celebration a January 1 is not so popular as that of Songkran. Normally, before the upcoming January 1, people will exchange greeting cards and gifts. Sin ce on this auspicious occasion, a few grand celebrations are held in the kingdom, people take this opportunity to travel upcountry to visit their relatives or spend holidays at a tourist attraction site, while those stay at home will prepare food and other necessary items to make merit on the early morning of January 1 and then take part in various charitable activities held in various places.
At the same time, several companies take this opportunity to give a bonus and announce promotions to their employees who later cash money to buy gifts for relatives and friends before
heading to their hometown for a long vacation.
Obviously, in Thailand people celebrate New Year three times a year, namely: the Thai traditional New Year or Songkran, January 1 and the Chinese New Year. Out of these, Songkran is the most joyous occasion which draw people from all walks of life to
take part in a week-long celebration. Meanwhile, the Chinese New Year is important especially for Thai citizens of Chinese origin. Though it is not a public holiday, most private organizations will close their business for several days so that the employers and their employees will be able to celebrate the auspicious occasion with their relatives at home or spend a long holiday in a place they like.


ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการจัดฉลองเทศกาลตลอดทั้งปี เทศกาลเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากทั้งศาสนาพุทะและศาสนาพราหมณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาผ่านไป เทศกาลต่างๆ เหล่านี้ก็ถูกดัดแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสากลนิยมบ้าง
ที่จริงแล้ว วันขึ้นปีใหม่ของไทยอย่างเป็นทางการนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งหลายคราว ครั้งหนึ่งเคยถือเอาปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 - 2453) วันขึ้นปีใหม่กำหนดให้อยู่ในช่วงเดือนเมษายน จนกระทั่งเปลี่ยนมาถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ การถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามหลักสากลนิยมนั้นเพิ่งจะได้นำมาประยุกต์ใช้ในปี พ.ศ. 2484 เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินตะวันตกและนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประเทศก้าวไปสู่สมัยใหม่
ถึงแม้ว่า วันที่ 1 มกราคม จะถือปฏิบัติเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังถือเอากลางเดือนเมษายน (วันสงกรานต์) เป็นวันขึ้นปีใหม่และในโอกาสอันเป็นมงคลนี้การเฉลิมฉลองเป้นเวลานานนับสัปดาห์ก็จะมีขึ้นให้เห็นทั่วราชอาณาจักร ส่วนใหญ่กิจกรรมในวันสงกรานต์นี้จะเกี่ยวกับการสาดน้ำใส่กัน สร้างเจดีย์ทราย และรดน้ำหอมให้กับผู้สูงอายุเพื่อความเป็นสิริมงคล ความจริงแล้ว การฉลองวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคมนั้น จะได้รับความนิยมน้อยกว่าวันสงกรานต์มาก โดยปกติก่อนวันที่ 1 มกราคม ผู้คนก็จะแลกบัตรอวยพรและของขวัญแก่กันและกัน เนื่องจากในวันนี้การเฉลิมฉลองอย่างมโหฬารจะจัดให้มีขึ้นเพียงไม่กี่แห่ง ผู้คนก็เลยถือโอกาสนี้ไปเที่ยวต่างจังหวัดเพื่อเยี่ยมญาติๆ หรือไม่ก็ไปใช้วันหยุดในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในขณะที่ผู้ที่อยู่บ้านก็จะจัดเตรียมอาหารและเครื่องไทยธรรมอื่นๆ เพื่อทำบุญตักบาตรในเช้าตรู่ของวันที่ 1 มกราคม และยังเข้าร่วมกิจกรรมการกุศลต่างๆ ที่จัดให้มีขึ้นตามสถานที่ต่างๆ
ในขณะเดียวกัน หลายบริษัทก็จะถือเอาโอกาสนี้แจกเงินโบนัสและประกาศเลื่อนขั้นพนักงานผู้ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังจะถอนเงินซื้อของขวัญเพื่อแจกญาติๆ และเพื่อฝูงก่อนที่จะบ่ายหน้าไปยังบ้านเกิดเพื่อใช้วันหยุดอันยาวนาน
จะเห็นได้ว่า คนไทยจะฉลองปีใหม่ 3 ครั้งต่อปีเลยก็ว่าได้ กล่าวคือ วันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีหรือวันสงกรานต์ วันที่ 1 มกราคม และวันตรุษจีน ใน 3 วันนี้ วันสงกรานต์เป็นโอกาสที่สนุกสนานที่สุด เพราะว่าประชาชนจากทุกสาขาอาชีพต่างพร้อมใจกันเข้าร่วมฉลองเป็นเวลานับสัปดาห์ ในขณะที่วันตรุษจีนก็มีความสำคัญเท่าๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยเชื้อสายจีน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่วันหยุดของทางราชการ บริษัทเอกชนส่วนใหญ่ก็จะหยุดดำเนินธุรกิจเป็นเวลาหลายวัน เพื่อให้ทั้งนายจ้างและพนักงานได้เข้าร่วมฉลองโอกาสอันเป็นมงคลนี้ร่วมกับญาติๆ ที่บ้านหรือไม่ก็ใช้วันหยุดตามสถานที่ที่ตนพอใจ