วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

New Game


เกมส์ The Sims 2 Apartment Life

สำหรับแผ่นเสริม The Sims 2 Apartment Life ก็จะมีการเพิ่มการใช้ชีวิตแบบใหม่ให้กับชาวซิมส์ ที่จะไม่สร้างบ้านเป็นของตัวเอง แต่จะใช้ชีวิตในห้องเช่า หรืออพาร์ตเม้นท์แทน ซึ่งในการใช้ชีวิตแบบนี้ ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องสร้างบ้านเลย โดยหลังจากที่เลือกตัวละครที่ต้องการแล้ว ก็ทำการย้ายเข้าไปสู่อพาร์ตเม้นท์ ซึ่งมีหลายแห่งให้เลือกและราคาเช่าห้องก็ต่างกันไปตามความหรูหราและขนาดของห้อง มีตั้งแต่ห้องแบบที่มีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆในตัวครบครัน กับห้องที่เราต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเอาเอง สะดวกแบบไหนก็เช่าแบบนั้นอยู่
เกมส์ The Sims 2 Apartment Life เป็นแผ่นเสริมที่ทำออกมาเพื่อชาวซิมส์ที่เบื่อหน่ายความจำเจกับชีวิตโดยเฉพาะ หลีกหนีความหรูหราส่วนตัวในบ้านหลังใหญ่ แล้วออกมาใช้ชีวิตแบบคนติดดินในอพาร์ตเม้นท์ที่คึกคัก เต็มไปด้วยเพื่อนบ้านใหม่ๆมากมาย ที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นท์เดียวกัน ทำให้ชีวิตชาวซิมส์มีรูปแบบที่เป็นสังคมมากยิ่งขึ้น ซึ่งในภาคนี้เองได้มีการนำระบบ reputation meter ซึ่งมันเป็นค่าที่บ่งบอกความน่ายกย่องของตัวเราในสายตาชาวซิมส์ที่อาศัยในระแวงเดียวกัน เมื่อมีค่านี้มากตัวเราก็จะเป็นที่รู้จักกันของเพื่อนบ้าน และทำความเข้ากันได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีบรรดาอุปกรณ์แต่งบ้านแบบใหม่ ยกขบวนกันมาให้เลือกเยอะแยะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นราวตากผ้า ชั้นวางของติดผนัง และบันไดเวียนเกมส์ The Sims 2 Apartment Life จะวางจำหน่ายในวันที่ 28 สิงหาคม 2008

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บอกรักพ่อแล้วหรือยัง

คำบอกรักพ่อสุดเจ๋ง
1. กราบแทบเท้า กอดพ่อบอกพ่อว่า "เรารักพ่อมากที่สุดในโลก เราภูมิใจและดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อ"

2. ส่งการ์ดอวยพรวันพ่อ / โทรศัพท์หรือส่งของขวัญพิเศษไปให้พ่อ หากอยู่ห่างไกล และไม่สะดวกไปหาด้วยตนเอง

3. หากอยู่คนละบ้านและมีครอบครัวใหม่แล้ว ควรพาลูก - ภรรยาไปกราบคารวะพ่อที่บ้าน พร้อมหาของขวัญ เช่น เสื้อผ้า ดอกไม้ ของกินของใช้ ไปให้พ่อ หรือพาพ่อออกไปหาอาหารพิเศษรับประทาน

4. พาพ่อไปนวดตัว นวดเท้า เพื่อสุขภาพ หรือพาไปเข้าคอร์สสุขภาพในต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ

5. พาไปทำบุญทำทานที่วัดหรือให้ไปทัวร์มหากุศลต่างๆ เช่น ทัวร์ 9 วัดมงคล เป็นต้น

6. พาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศหากสุขภาพพ่อแข็งแรงพอและเป็นสถานที่ที่พ่ออยากไป

7. ซื้อคอมพิวเตอร์ให้พ่อ พร้อมสอนให้ใช้เพื่อความเพลิดเพลิน เช่น ส่งเมล์โต้ตอบกับหลานๆ หรือเพื่อนๆ ทางอินเทอร์เน็ต เล่นเกม หรือเปิดหาความรู้ต่าง ๆ

8. ซื้อหนังสือประเภทที่พ่อชอบอ่านให้ พร้อมตัดแว่นตาให้ใหม่หรือพาไปเลสิกสายตา

9. สอบถามหรือสืบถามความปรารถนาของพ่อว่าอะไรที่พ่ออยากทำ และยังไม่ได้ทำ แล้วพยายามจัดหาให้ เช่น อยากเรียนดนตรี แต่ยังไม่เคยมีโอกาสในสมัยเด็กๆ หรือหนุ่มๆ ก็พาพ่อไปสมัครเรียนและให้กำลังใจ เป็นต้น

10. หากพ่อถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ หรือไปเลี้ยงคนชรา พระภิกษุป่วย เพื่อส่งผลบุญให้แก่พ่อ

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Zodiac

THE ZODIAC





ราศีเมษ (Aries จากภาษาลาติน แปลว่า แกะตัวผู้) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีแรก ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีมีนและราศีพฤษภ มีสัญลักษณ์เป็น แกะตัวผู้ ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีเมษนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 21 มีนาคม ถึง 19 เมษายน ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 14 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม



ราศีพฤษภ (Taurus จากภาษาลาตินแปลว่า วัว) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 2 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีเมษและราศีเมถุน มีสัญลักษณ์เป็นวัว ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีพฤษภนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 20 เมษายน ถึง 20 พฤษภาคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม ถึง 14 มิถุนายน




ราศีเมถุน (Gemini จากภาษาลาติน แปลว่า ฝาแฝด) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 3 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีพฤษภและราศีกรกฎ มีสัญลักษณ์เป็นฝาแฝด ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีเมถุนนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 21 พฤษภาคม ถึง 20 มิถุนายน ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน ถึง 16 กรกฎาคม




ราศีกรกฎ (Cancer จากภาษาลาติน แปลว่า ปู) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 4 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีเมถุนและราศีสิงห์ มีสัญลักษณ์เป็น ปู ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีกรกฎนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน ถึง 22 กรกฎาคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 17 กรกฎาคม ถึง 16 สิงหาคม




ราศีสิงห์ (Leo จากภาษาลาติน แปลว่า สิงโต) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 5 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีกรกฎและราศีกันย์ มีสัญลักษณ์เป็น สิงโต ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีสิงห์นั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม ถึง 22 สิงหาคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม ถึง 16 กันยายน




ราศีกันย์ (Virgo จากภาษาลาติน แปลว่า หญิงพรหมจรรย์) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 6 ตามตำราของโหรศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีสิงห์และราศีตุลย์ มีสัญลักษณ์เป็นหญิงสาวพรหมจรรย์มีปีก ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีกันย์นั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม ถึง 22 กันยายน ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 17 กันยายน ถึง 17 ตุลาคม



ราศีตุลย์ (Libra จากภาษาลาติน แปลว่า ความสมดุล) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 7 ตามตำราของโหรศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีกันย์และราศีพฤศจิก มีสัญลักษณ์เป็นตาชั่ง ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีตุลย์นั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 23 กันยายน ถึง 22 ตุลาคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 18 ตุลาคม ถึง 16 พฤศจิกายน



ราศีพิจิก (Scorpio จากภาษาลาติน แปลว่า แมงป่อง) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 8 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีตุลย์และราศีธนู มีสัญลักษณ์เป็น แมงป่อง(บางตำราเป็นนกอินทรีหรืองู) ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีพิจิกนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม ถึง 21 พฤศจิกายน ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน ถึง 15 ธันวาคม




ราศีธนู (Sagittarius จากภาษาลาตินแปลว่า นักยิงธนู) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 9 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีพฤศจิกและราศีมังกร มีสัญลักษณ์เป็น เซนทอร์กำลังยิงธนู ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีธนูนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 22 พฤศจิกายน ถึง 21 ธันวาคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม ถึง 14 มกราคม





ราศีมังกร (Capricorn จากภาษาลาตินแปลว่า แพะทะเล) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 10 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีธนูและราศีกุมภ์ มีสัญลักษณ์เป็นครึ่งแพะภูเขาครึ่งปลา ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีมังกรนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม ถึง 19 มกราคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 15 มกราคม ถึง 12 กุมภาพันธ์


ราศีกุมภ์ (Aquarius จากภาษาลาติน แปลว่า คนโทใส่น้ำ) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีที่ 11 ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีมังกรและราศีมีน มีสัญลักษณ์เป็นผู้ชายถือคนโทน้ำ ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีกุมภ์นั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 20 มกราคม ถึง 18 กุมภาพันธ์ ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ถึง 14 มีนาคม



ราศีมีน (Pisces จากภาษาลาติน แปลว่า ปลา-พหุพจน์) เป็นกลุ่มดาวจักรราศีสุดท้าย ตามตำราของโหราศาสตร์ตะวันตก อยู่ระหว่างกลุ่มดาวราศีกุมภ์และราศีเมษ มีสัญลักษณ์เป็น ปลา 2 ตัว ช่วงวันที่ครอบคลุมของราศีมีนนั้น ในแบบสายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ถึง 20 มีนาคม ส่วนแบบนิรายนะ จะครอบคลุมระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 13 เมษายน

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย พระโสทรเชษฐภคินี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย


แม้ตามโบราณราชประเพณี พระอิสริยศักดิ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จะเทียบเท่ากับชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า แต่ด้วยความที่ทรงเป็นพระโสทรเชษฐภคินี อันสนิทแต่พระองค์เดียว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชวินิจฉัยให้พระราชทานพระอิสริยยศพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ อย่างสูงสุด โดยถือเป็นการอนุโลม ดังจะเห็นได้จากการที่ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ยังทรงได้รับพระราชทาน "พระโกศทองใหญ่" เป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศพระศพ ซึ่งเป็นพระโกศที่อยู่ในลำดับชั้นสูงสุด ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ชั้นสูงเท่านั้น โดยในรัชกาลปัจจุบัน มีพระราชวงศ์ 8 พระองค์ ที่ทรงได้รับพระราชทานพระโกศทองใหญ่ รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8, สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า, สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ไม่เพียงเท่านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเศวตฉัตร 7 ชั้น กางกั้นพระโกศพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ แทนเศวตฉัตร 5 ชั้น ตามพระอิสริยศักดิ์ พร้อมโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงร่วมกันเป็นประธานที่ปรึกษาการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น และสมพระเกียรติที่สุด โดยจะจัดขึ้นต่อเนื่อง 6 วันเต็ม ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย. 2551 ไฮไลต์สำคัญของพระราชพิธี ที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศเฝ้าติดตามชมก็คือ พระราชพิธีเชิญพระโกศออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในวันที่ 15 พ.ย. 2551 ซึ่งจะมีการจัดริ้วขบวนพระราชอิสริยยศอย่างงดงามตระการตา ตามโบราณราชประเพณีทุกประการ









พระราชพิธีในวันดังกล่าว แบ่งออกเป็นสามช่วงคือ เวลา 7 โมงเช้า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะเสด็จฯแทนพระองค์ตามพระโกศ ไปยังพลับพลายก หน้าวัดพระเชตุพนฯ เพื่อทรงทอดผ้าไตร 20 ไตร จากนั้นขบวนกองทหาร พร้อมขบวนพระอิสริยยศ แห่เชิญพระโกศเข้าสู่ท้องสนามหลวง และเคลื่อนพระโกศเวียนรอบพระเมรุ 3 รอบ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬา-ภรณ์ฯ, ทูลกระหม่อมอุบลรัตนราช-กัญญาฯ จะเสด็จฯตามพระโกศ พร้อมด้วย ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ธิดาคนเดียวของสมเด็จฯ กรมหลวงฯ และหลังเชิญพระโกศเข้าสู่พระเมรุแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จึงเสด็จฯขึ้นสู่ พระเมรุ สักการะพระศพ ต่อมาในเวลา 16.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จฯยังพระที่นั่งทรงธรรม และเสด็จฯขึ้นพระเมรุ พระราชทานเพลิงพระศพ จนกระทั่ง 4 ทุ่มตรง จึงเสด็จฯขึ้นพระเมรุ ท้องสนามหลวงอีกครั้ง เพื่อพระราชทานเพลิงพระศพฯจริง หัวใจสำคัญของพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ อยู่ที่การจัดสร้างพระเมรุ ในมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติที่สุด โดยตั้งแต่โบราณกาลมา พระเมรุได้ถูกใช้เป็นเครื่อง แสดงความกตัญญู และความอาลัยรักต่อพระผู้เสด็จกลับสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงพระเดชานุภาพของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน สำหรับพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ใช้เวลาจัดสร้างนานหลายเดือน ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร โดยสร้างเป็นกุฎาคารเรือนยอด ประธานมณฑลสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เป็นพระเมรุทรงปราสาทจัตุรมุขย่อมุมไม้สิบสอง ยอดปักพระสิปตปฎลเศวตฉัตร จากฐานถึงยอดฉัตรสูง 37.85 เมตร กว้าง 31.80 เมตร ยาว 39.80 เมตร สร้างด้วยไม้ โครงสร้างภายในเป็นเหล็ก ประดับด้วยกระดาษทองย่น ตกแต่งลวดลายวิจิตรงดงาม




ฐานพระเมรุ ได้จัดทำเป็น 2 ระดับ มีบันไดทอดยาวตลอดทั้ง 4 ทิศ ระดับแรกเรียกว่า ฐานชาลา ประดับด้วยรูปเทวดานั่งคุกเข่า พระหัตถ์ถือบังแทรกตรงกลางเป็นโคมไฟ ประดับตามพนักฐานชาลา ด้านในมีรูปเทวดาประทับยืนถือฉัตรเครื่องสูงรายรอบ ระดับที่สอง หรือฐานบน เรียกว่า ฐานพระเมรุ เป็นฐานสิงห์ มีบันไดทางขึ้นจากฐานชาลาทั้ง 4 ทิศ โถงกลางใหญ่ของพระเมรุ จัดตั้งพระจิตกาธานขนาดใหญ่ สำหรับประดิษฐานพระโกศ เพื่อถวายพระเพลิง ทางด้านทิศเหนือของพระจิตกาธาน มีรางยื่นออกไปนอกมุข เป็นสะพานเกริน ใช้เป็นที่เคลื่อนพระโกศจากพระยานมาศสามลำคาน ขึ้นบนพระเมรุ องค์พระเมรุทั้งด้านใน และด้านนอก ประดับตกแต่งด้วยกระดาษทองย่นเกือบทั้งหมด ใช้สีทองเป็นหลัก และประกอบด้วยสีอื่นๆ ที่เป็นสีอ่อนหวาน เหมาะกับพระอุปนิสัย และพระจริยวัตร ที่นุ่มนวลสง่างามของสมเด็จฯกรมหลวงฯ ในส่วนของอาคารต่างๆ ในมณฑลพิธี ประกอบด้วย พระที่นั่งทรงธรรม เป็นอาคารโถง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระเมรุ ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับทรงธรรม และทรงประกอบพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในการออกพระเมรุพระศพ ภายในพระที่นั่งทรงธรรม ยังเป็นที่ตั้งอาสนะพระสงฆ์ และธรรมาสน์ และเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพักพระอิริยาบถ ซึ่งตรงกับมุขด้านหน้าของพระเมรุ ส่วนมุขด้านเหนือและใต้ ใช้สำหรับข้าราชการและคณะทูตานุทูต เข้าเฝ้าฯ นอกเหนือจากพระเมรุ กลางท้องสนามหลวงแล้ว องค์ประกอบสำคัญในพระราชพิธีครั้งนี้ ยังรวมถึง ริ้วขบวนพระราชอิสริยยศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ซึ่งจัดเตรียมไว้อย่างงดงามตามราชประเพณี รวม 6 ริ้วขบวนประกอบด้วยริ้วขบวนที่ 1 ทำหน้าที่เชิญพระโกศ โดยพระยานมาศสามลำคาน จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปยังพระมหาพิชัยราชรถ หน้าวัดพระเชตุพนฯ เมื่อกล่าวถึงพระมหาพิชัยราชรถ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นราชรถสำหรับเชิญ พระโกศพระบรมศพพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2338 ต่อมาได้นำมาซ่อมแซมเพื่อใช้งานใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยได้มีการเพิ่มล้อขึ้นอีกในตัวราชรถ เพื่อให้รับน้ำหนักตัวราชรถ, บุษบกยอด และพระโกศที่ตั้งอยู่บนราชรถ ในยามที่เคลื่อนย้ายเข้ากระบวนพระราชพิธี จะได้เป็นไปอย่างราบรื่น


ส่วนริ้วขบวนที่ 2 รับภารกิจเชิญพระโกศโดยพระมหาพิชัยราชรถ จากหน้าวัดพระเชตุพนฯ ไปยังพระเมรุ ท้องสนามหลวง, ริ้วขบวนที่ 3 เชิญพระโกศ โดยพระยานมาศสามลำคานเวียนพระเมรุ โดยอุตราวัฏ (เวียนซ้าย) ครบ 3 รอบ แล้วเชิญพระโกศประดิษฐานบนพระเมรุ ในวันเก็บอัฐิ (16 พ.ย.), ริ้วขบวนที่ 4 เชิญพระโกศพระอัฐิ โดยพระที่นั่งราเชนทรยาน และพระราชสรีรางคาร โดยพระวอสีวิกากาญจน์ จากพระเมรุท้องสนามหลวง เข้าสู่พระบรมมหาราชวัง อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายหลังบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ ในส่วนของริ้วขบวนที่ 5 เชิญพระโกศพระอัฐิ โดยพระที่นั่งราเชนทรยาน จากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และริ้วขบวนที่ 6 วันบรรจุพระราชสรีรางคาร (19 พ.ย.) เชิญฯพระราชสรีรางคารจากพระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยรถยนต์พระที่นั่งไปบรรจุ ณ วัดราชบพิธฯ รูปแบบของเครื่องแต่งกายในริ้วขบวนก็มีสีสันน่าสนใจเช่นกัน ริ้วขบวนทั้ง 6 ประกอบด้วยกำลังพล 5,300 นาย มีทั้งที่มาจากสามเหล่าทัพ, นักเรียนเตรียมทหาร, กรมสรรพาวุธ, กรมพลาธิการ, คณะครูอาจารย์ โรงเรียนราชินี, ราชวินิต, จิตรลดา และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกระทรวงศึกษาธิการ และกรมศิลปากร นอกจากผู้เข้าประจำในริ้วขบวน จะต้องซ้อมความพร้อมในเรื่องจังหวะและลีลาแล้ว ทุกคนยังต้องแต่งกายตามแบบที่กำหนดไว้ มีทั้งหมด 16 แบบ ใช้งบประมาณในการตัดเย็บ 24 ล้านบาท มีอาทิ เครื่องแต่งกายนำริ้วขบวน เป็นเสื้ออัตลัดสีบานเย็น นุ่งผ้าเกี้ยวลาดรัดประคดโหมดเทศ สวมหมวกทรงประพาสกำมะหยี่ สีดำยอดเกี้ยว, ชุดธงสามชาย เป็นเสื้ออัตลัดสีแดง นุ่งผ้าเกี้ยวลาดรัดประคดโหมดเทศสีแดง สวมหมวกหูกระต่ายแดง ขลิบลูกไม้ใบข้าว, ชุดกลองชนะแดงลายทอง สวมเสื้อปัสตูแดงขลิบเหลือง กางเกงปัสตูแดงขลิบเหลือง สวมหมวกกลีบลำดวนแดงขลิบเหลือง และชุดจ่าปี่กับจ่ากลอง สวมเสื้อเข้มขาบไหม เข็มขัดแถบทองหัวครุฑ กางเกงมัสรูไหม สวมหมวกทรงประพาสโหมดเทศยอดเกี้ยว สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถร่วมถวายดอกไม้จันทน์แสดงความอาลัยแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ที่บริเวณท้องสนามหลวง และบริเวณรอบๆ ซึ่งทางกรุงเทพมหานคร ได้จัดทำไว้ จำนวน 8 ซุ้ม ส่วนต่างจังหวัด ได้มีการจัดซุ้มไว้ตามศาลากลางจังหวัด และสถานที่สำคัญทางราชการ

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Loy Krathong: Festive air for a night of worship

Loy Krathong Day







Nov 22, 1999: THIS evening, as the Thai people go to the nearby rivers, khlongs or ponds to float their lotus-shaped vessels made of banana leaves, they will be evoking the spirit of the sacred past, with a blessing of a full moon.
Of all the Thai festivals, Loy Krathong is perhaps one of the most ritualistic and colourful events, rich in religious and spiritual expression. A krathong normally comes with a candle, three-joss-sticks and some flowers. Floating the krathong down the river during the high tide, and after the rainy season is over, not only signifies the attempt to purge evil or bad luck, but also represents an act of worshipping the Goddess of the water.
Therein lies the influence of Brahminism. Brahmin rites cannot be separated from the traditional religious practices of the Thais. But ancient Thai beliefs and folklore also hold that there are higher spirits residing everywhere, in the rivers, the trees and the mountains. There are virtually no places on earth that are not, or have not been, occupied by ghosts or by gods. You are supposed to act with reservation and not to speak out loud when you are in a forest because you do not want to disturb the spirits. But in Western thought, a forest is nothing but a wilderness for man to conquer.
For Bt3,800 a ticket at the Shangri-la Hotel, you can observe the delights of fireworks above the Chao Phraya River while having your favourite wine and food. Other Bangkok hotels, with an eye for the dollar, also go at top gear with their Loy Krathong gimmicks. This is an idle, if not rather expensive, way to let the Loy Krathong Day slip by without philosophising or without the trouble fighting the crowds on the riverbanks.
Nowhere in Thailand is the Loy Krathong Festival held with more fanfare than at Sukhothai, one of the ancient capitals that lies about 450 kilometres north of Bangkok. Despite its past grandeur, and its Utopian characteristics, Sukhothai's existence comes to the fore only once a year, at the time of Loy Krathong. For most of the year Sukhothai is far from the Thai consciousness, like the ruins of its past that are forever buried under layers of the earth.
Reviving Sukhothai can only be done necessarily by popularising it, with modern lights and sounds against the background of its decaying structures. But as the young girls, clad in exquisite Thai costumes, prepare to float their krathongs into the pond of the Sukhothai historical park in front of the thousands of visitors, they almost unconsciously might have formed an elusive image of the grandiose Noppamas in their imaginations.
What Venus is to beauty for the ancient Greeks, Noppamas is beauty for Thais. And one way of popularising Noppamas is to immortalise her through the Noppamas Beauty Queen Contest, held not only in Sukhothai but elsewhere throughout the country.
Legend has it that Noppamas, a beautiful lady of exceptional wit and charm, was the first to have devised the krathong in the 13th century. She served in the court of King Lithai, the grandson of King Ramkhamhaeng The Great. A favourite of the king, Noppamas was said to have raised court mannerisms and practices to a high order. The krathong she floated created a lasting tradition that is still observed today, though with different imageries.
Now Loy Krathong is firmly connected with the worldly desires for material gains. Young Thai couples also find the festival auspicious enough to bind their love together. You will know a Thai girl's boyfriend by waiting to see with whom she goes to float the krathong with. Little do the young couples realise, however, that once they float the krathong, which is supposed to hold their spirits together, they let go their destiny into the realm of the unknown.
While most Thais know Noppamas by associating her with the Loy Krathong Festival, few have bothered to go back to read King Lithai's Buddhist to gain a proper frame of mind.
While his grandfather King Ramkhamhaeng was held as the inventor of the Thai written characters, King Lithai wrote Trai Phum Phra Ruang or ''Sermon on the Three Worlds''. This masterpiece was recognised as a Thai version of the Divine Comedy, ranked in the same class as Dante's.




King Lithai's ''Three Worlds'' do not represent the earthly, the infernal or the heavenly spheres, but account for the three Buddhist forms of existence of the sentient world. In this religious universe, there is the world of kama-loka, or the world of the five senses; the world of rupa-loka, or the corporeal world of the 16 celestial grades; and the world of arupa-loka, or the incorporeal world where the five senses cease to function. This treatise formed a doctrinal basis for King Lithai to lead his followers to redemption. Ancient Thais were given the vision of the various cosmic realms and their inhabitants, some of whom were confined to eternal damnations if they could not break away from their sins.
Floating the krathong with King Lithai -- not Noppamas -- in your heart will get you closer to Dharmma. A shocking reality is now emerging that in spite of her immortality, Noppamas might not exist at all.
Whether she is a historical person or a fictional character is a subject of controversial debate in the academic circle. But let the academics carry on their debate. Noppamas will continue to exist, for in Thailand histories and legends are mixed so intensely like moulding gold into a pagoda that the facts lie in the realm of introspection.
Even the significance of Sukhothai as the first formal capital of Thailand has also been disputed bitterly among the historians. For generations, Thais have been taught that Sukhothai was Thailand's first formal kingdom before it was defeated by Ayudhya. Then we have Thon Buri and Bangkok. All of which cover a span of more than 700 years. New suggestions have attempted to paint Sukhothai as simply one of the several kingdoms or muangs, which were scattering throughout this part of the world and vying for political and military predominance at the time.
To deny Sukhothai is one thing, but to delete Noppamas from the Thai consciousness amounts to daylight robbery of Loy Krathong. The young girls who dance in front of the remnants of the Sukhothai look as if they were trying to establish a connection with the past through Noppamas, the person they can only imagine or dream of. And these Sukhothai dancers are but the descendants of the semi-devine and radius beings, who at the beginning of time, came down to this world and were lured by the temptations of the fragrance of the earth. Once they tasted the earth, they at once became walking mortals. In this classical Buddhist doctrine, mankind was created and reincarnated in the unending cycle of suffering, until enlightenment is attained.
For almost three years, Thais have come to appreciate the world ''float'' even more. After the float of the Thai baht in July 1997, its value has been bumping up and down like the fate of the krathong trying to negotiate the treacherous high waters. The arrival of the Loy Krathong Festival once again reinforces the universality of Buddhism. It completes the cycle -- that the certain has become the uncertain and the uncertain has become the certain.

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Halloween Day bruwwww bruwwwwww-*-

**********HalloWeEn DaY**********

Jack-o'-lantern

Halloween (or Hallowe’en) is an international holiday celebrated on the evening of October 31; today it is often celebrated in the morning and afternoon as well. Halloween activities include trick-or-treating, ghost tours, bonfires, costume parties, visiting haunted attractions, carving jack-o'-lanterns, reading scary stories, and watching horror movies. Irish and Scottish immigrants carried versions of the tradition to North America in the nineteenth century. Other western countries embraced the holiday in the late twentieth century. Halloween is celebrated in several countries of the Western world, most commonly in the United States, Canada, Ireland, Puerto Rico, Japan, Australia, United Kingdom, and at times in parts of New Zealand. In Sweden the All Saints' official holiday takes place on the first Saturday of November.





History
Halloween has its origins in the ancient
Celtic festival known as Samhain (Irish pronunciation: [ˈsˠaunʲ]; from the Old Irish samain).[1] The festival of Samhain is a celebration of the end of the harvest season in Gaelic culture, and is sometimes [2] regarded as the "Celtic New Year".[3] Traditionally, the festival was a time used by the ancient Celtic pagans to take stock of supplies and slaughter livestock for winter stores. The ancient Gaels believed that on October 31, now known as Halloween, the boundary between the alive and the deceased dissolved, and the dead become dangerous for the living by causing problems such as sickness or damaged crops. The festivals would frequently involve bonfires, into which bones of slaughtered livestock were thrown. Costumes and masks were also worn at the festivals in an attempt to mimic the evil spirits or placate them.





History of name
The term Halloween is shortened from All Hallows' Even (both "even" and "eve" are abbreviations of "evening", but "Halloween" gets its "n" from "even") as it is the eve of "All Hallows' Day",
[6] which is now also known as All Saints' Day. It was a day of religious festivities in various northern European Pagan traditions,[7] until Popes Gregory III and Gregory IV moved the old Christian feast of All Saints' Day from May 13 (which had itself been the date of a pagan holiday, the Feast of the Lemures) to 1st November. In the ninth century, the Church measured the day as starting at sunset, in accordance with the Florentine calendar. Although All Saints' Day is now considered to occur one day after Halloween, the two holidays were, at that time, celebrated on the same day. Liturgically, the Church traditionally celebrated that day as the Vigil of All Saints, and, until 1970, a day of fasting as well. Like other vigils, it was celebrated on the previous day if it fell on a Sunday, although secular celebrations of the holiday remained on the 31st. The Vigil was suppressed in 1955, but was later restored in the post-Vatican II calendar.





Symbols
The carved
pumpkin, lit by a candle inside, is one of Halloween's most prominent symbols in America, and is commonly called a jack-o'-lantern. Originating in Europe, these lanterns were first carved from a turnip or rutabaga. Believing that the head was the most powerful part of the body containing the spirit and the knowledge, the Celts used the "head" of the vegetable to frighten off any superstitions.[8] The name jack-o'-lantern can be traced back to the Irish legend of Stingy Jack,[9] a greedy, gambling, hard-drinking old farmer. He tricked the devil into climbing a tree and trapped him by carving a cross into the tree trunk. In revenge, the devil placed a curse on Jack, condemning him to forever wander the earth at night with the only light he had: a candle inside of a hollowed turnip. The carving of pumpkins is associated with Halloween in North America,[10] where pumpkins were readily available and much larger, making them easier to carve than turnips. Many families that celebrate Halloween carve a pumpkin into a frightening or comical face and place it on their home's doorstep after dark. In America the tradition of carving pumpkins is known to have preceded the Great Famine period of Irish immigration. The carved pumpkin was originally associated with harvest time in general in America and did not become specifically associated with Halloween until the mid-to-late 19th century.
The
imagery surrounding Halloween is largely an amalgamation of the Halloween season itself, nearly a century of work from American filmmakers and graphic artists,[11] and a rather commercialized take on the dark and mysterious. Halloween imagery tends to involve death, magic, or mythical monsters. Traditional characters include ghosts, ghouls, witches, owls, crows, vultures, pumpkin-men, black cats, spiders, goblins, zombies, mummies, skeletons, and demons.[12]
Particularly in America, symbolism is inspired by classic horror films, which contain fictional figures like Frankenstein's monster and The Mummy. Elements of the autumn season, such as pumpkins and scarecrows, are also prevalent. Homes are often decorated with these types of symbols around Halloween.

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Animation นี่หละฝีมือเด็กไทย


ในขณะที่ศึกษาหาข้อมูลด้านคณะ คอมพิวเตอร์อาร์ต เกี่ยวกับ เอนิเมชั่น ภาพเคลื่อนไหว และการออกแบบตัวละครที่เป็นการ์ตูนที่ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออกแบบ และสร้างสรรค์ผลงาน เราก็ได้เจอกับ ผลงานของพี่ๆม.รังสิตที่สร้างงานออกมาได้อย่างเฉียบขาดทีเดียว นี่ๆ มาดูสิ ฝีมือเด็กไทยนะย่ะ จะบอกให้

อันนี้เป็นแบบสถาปัตยกรรม เป็นโบสถ์ นี่ใช้คอมวาดนะ ให้ตาย สวยเนียบ เฉียบขาดจริงๆ







อันนี้ออกแบบการ์ตูนและคาแรคเตอร์








อันนี้เราชอบมาก



งาดำ

งาดำงา พืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆมากมาย โดยงา จะมี 2 แบบ คือ งาดำ และ งาขาว นอกจากนี้ ยังมีน้ำมันงาที่นำมาใช้ปรุงอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมและกรดไขมันที่มีประโยชน์ ทั้งนี้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดงาล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดอะมิโนเมธิโอนีน นอกจากนี้ เรายังสกัดน้ำมันจากงาออกมาได้อีกด้วย ซึ่งน้ำมันที่ได้นั้นเป็นน้ำมันงาที่มีคุณสมบัติเยี่ยม คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ที่ช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น
นอกจากนี้ งายังมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง และยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้นยังมีสารบำรุงประสาทด้วย และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต้านมะเร็ง
สำหรับประโยชน์ของงาดำนั้น งาดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sesamum orientale L. อยู่ในวงศ์ Pedaliaceae ชื่อสามัญคือ sesame มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเอธิโอเปีย และถูกนำเข้าไปยังอินเดียและแพร่ต่อไปในจีน แอฟริกาเหนือ เอเซียใต้ และทวีปอเมริกา ซึ่งงาดำมีประโยชน์อย่างมาก การบริโภคงาดำเป็นประจำ จะช่วยให้นอนหลับ กระปรี้กระเปร่า ป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงกระดูก ป้องกันอาการท้องผูก ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร และช่วยบำรุงรากผม
ส่วนประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือ ถ้าใช้น้ำมันงาดิบนวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ จะช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมน ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ช่วยคลายเครียดทำให้จิตใจสงบ และยังสามารถนำน้ำมันงาดิบไปใช้นวดตัว เพื่อขจัดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเข่า เล็ดขัดยอก และทำให้กล้ามเนื้อไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

งาดำเป็นพืชที่มีประโยชน์อย่างมากและเป็นยาที่รักษาได้ทุกโรค ในหะดิษหนึ่งท่านศาสนฑูตได้กล่าวว่า

إن في الحبة السوداء شفاء من كل داء إلا السأم

ความว่า: แท้จริงในงาดำนั้นมียาที่สามารถรักษาทุกโรคนอกจากความตาย

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ดินสอ


การเขียนในสมัยอดีต
ในสมัยอดีต การเขียนเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นแบบแผนทางวัฒนธรรม ตำรา หรือการวาดรูป มนุษย์ในสมัยก่อนใช้อุปกรณ์ที่เป็นแปรงหรือกิ่งไม้เล็กๆ และเหล็กที่มีปลายแหลม นำไปเผาไฟจุ่มลงในน้ำหมึกเพื่อใช้ในการขีดเขียน ( ภาษาโรมันเรียกแปรงหรือเหล็กแหลมนี้ว่า " Pencillus " หรือ " Little tail " ซึ่งต่อมากลายเป็นคำว่า " Pencil " มีความหมายว่า " หางน้อย " ) ส่วน " ปากไก่ หรือ ปากกาขนห่าน " เริ่มมีการประดิษฐ์ขึ้นใช้ในทวีปยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 6
ดินสอ สิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้แท่งเล็กๆ ยาวประมาณ 7 นิ้ว บรรจุภายในด้วยแกรไฟต์ นับว่าเป็นเครื่องมือของการขีดเขียนที่มีราคาถูกที่สุด ในการทำงานด้านการเขียนต่างๆ ที่ยังไม่แน่ใจในความถูกต้อง และอาจจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงผลงานต่างๆ อาทิเช่น งานวาดรูป งานออกแบบเสื้อผ้า ฯลฯ ไปจนถึงสูตรทำระเบิดนิวเคลียร์ ต่างก็เกิดขึ้นจากดินสอทั้งนั้น

กำเนิดและประวัติของดินสอ
เมื่อประมาณ 400 กว่าปีก่อน บาทหลวงชาวสวิสเซอร์แลนด์ได้เป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องเขียนที่ทำจากขนนกขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูงและไส้ดินสอมีความเปราะเกินกว่าจะใช้ในงานเขียนปกติได้ ทำให้งานเขียนช้ามาก
ต่อมาในปี ค.ศ. 1564 ได้มีการค้นพบวัสดุที่ใช้ทำไส้ดินสอได้ดีโดยบังเอิญ เนื่องจากเกิดพายุใหญ่ในทุ่งเลี้ยงแกะ ใกล้กับหมู่บ้านบอร์โรว์เดล ตำบลคัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ต้นไม้ใหญ่ถูกพายุพัดถอนรากถอนโคนเป็นจำนวนมาก หลังจากพายุสงบชาวบ้านได้พบหินสีดำอยู่ใต้ดิน ณ บริเวณรากของต้นไม้ที่โค่นล้ม เมื่อทดลองนำมาขีดเขียน ปรากฏว่ามีความคมชัดดีมาก คนเลี้ยงแกะจึงนำมาเขียนสัญลักษณ์ลงบนตัวแกะของตนเอง หินสีดำที่ค้นพบในครั้งนั้นคือ แกรไฟต์ ( Graphite เป็นคาร์บอนชนิดหนึ่ง ) หลังจากนั้นไม่นานมีผู้นำหินนี้มาทำเป็นแท่งและนำไปขายโดยโฆษณาว่าเป็น " หินสี " สามารถนำไปเขียนบนสิ่งใดก็ติดทั้งนั้น พ่อค้านิยมซื้อไปเขียนตราสัญลักษณ์และทำเครื่องหมายบนสินค้า หรือหีบห่อที่บรรจุสินค้าของตน เพื่อเป็นการบอกชนิด จำนวน และราคาของสินค้านั้นๆ


ต่อมาพระเจ้าจอร์ช ที่ 2 ได้ยึดเหมืองแร่แกรไฟต์แห่งบอร์โรว์เดลให้เป็นของรัฐ โดยเข้าไปดำเนินการแบบผูกขาด (แกรไฟต์ เป็นวัตถุสำหรับทำกระสุนปืนใหญ่) ไม่ต้องการให้ประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง เกรงจะถูกแย่งชิง โดยเปิดดำเนินการปีละ 2 - 3 เดือน เท่านั้น เพื่อเป็นการสงวนทรัพยากรธรรมชาติและลดต้นทุนในการผลิต ขณะหยุดดำเนินการจะห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาภายในเหมืองแร่อย่างเด็ดขาด
ครั้งแรกที่ผลิตแท่งแกรไฟต์ออกจำหน่ายได้พบว่ามีข้อบกพร่องอยู่ 2 ประการ คือ เวลาเขียนจะมีสีดำสกปรกติดมือ และเปราะแตกหักง่าย จึงทำการแก้ไขด้วยการนำเชือกเส้นเล็กๆพันไว้รอบจนแน่นตลอดแท่ง แล้วคลายออกทีละน้อยเวลาใช้ขีดเขียนเพื่อไม่ให้สีดำติดมือ ส่วนการเปราะและแตกหักง่ายได้รับการแก้ไขให้ใช้งานได้ดีขึ้น

ในปี ค.ศ. 1761 คาสปาร์ เปเปอร์ (ช่างงานฝีมือชาวบาวาเรีย) ซึ่งอดีตเป็นนักเคมี ได้นำแท่งแกรไฟต์ไปบดให้ละเอียดแล้วผสมด้วย กำมะถัน พลวง และยางสน จากนั้นจึงนำไปใส่ในพิมพ์ทำเป็นแท่ง เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน
ปี ค.ศ. 1795 พระเจ้านโปเลียนที่ 1 มีรับสั่งให้ นิโคลาส แจ๊ค ดังเต้ ซึ่งเป็นหัวหน้านักเคมีและนักประดิษฐ์ชั้นแนวหน้าของประเทศฝรั่งเศส นำแกรไฟต์ที่สามารถหาได้ทั้งหมดในฝรั่งเศสมาทำเป็นดินสอ แต่เมื่อนานเข้าทำให้เกิดการขาดแคลนแกรไฟต์ นิโคลาสจึงได้นำเอาแกรไฟต์มาบดเป็นผงแล้วผสมเข้ากับดินเหนียวชนิดหนึ่ง (Clay) ในสัดส่วนที่แตกต่างกันเพื่อหาส่วนผสมที่ดีที่สุด แล้วจึงนำไปเข้าเตาเผา จนกลายเป็นต้นตำรับของการทำดินสอ คือ เนื้อเหนียวขึ้น ไม่หักเปราะง่าย และด้วยการเพิ่มดินเหนียวเข้าไปตามอัตราส่วนนี้เองทำให้สามารถผลิตไส้ดินสอออกมาได้หลายขนาด คือ แข็ง ( Hard ) หรือ H ลงมาจนอ่อนสามารถเขียนได้ติดดำสนิท ( Black ) หรือ B ซึ่งในปัจจุบันมีตั้งแต่ 5 H และ 6 B เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ต่อมาชาวอเมริกัน ชื่อ วิลเลียม มอนโร ซึ่งเป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์ ได้ประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับผลิตดินสอขนาดมาตรฐานได้สำเร็จ สามารถตัดไม้ออกเป็นแผ่นบางๆ ยาวประมาณ 6-7 นิ้ว เซาะเป็นร่องเล็กๆตลอดความยาวของแผ่นไม้ เพื่อบรรจุแท่งแกรไฟต์และใช้ไม้อีกแผ่นหนึ่งเซาะร่องไว้อย่างชิ้นแรก นำมาทากาวแล้วประกบลงไป ซึ่งเป็นดินสอที่มีไม้หุ้มและเป็นดินสอที่ทันสมัยแท่งแรกของโลก เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการขีด - เขียน ที่มีราคาถูกและ สะดวก รูปร่างกระทัดรัดและสวยงาม เป็นที่ยอมรับในทุกวงการ ทำให้ปากกาขนห่านจุ่มน้ำหมึกในสมัยนั้นเสื่อมความนิยมไป
วัสดุที่ใช้ทำดินสอ
ในปัจจุบันดินสอทำด้วยวัตถุดิบที่แตกต่างกันออกไปกว่า 40 ชนิด แต่ดินสอที่ดีที่สุด คือดินสอที่ใช้อุปกรณ์ในการทำดังนี้
Graphite จากประเทศศรีลังกา มาดากัสการ์ และเม็กซิโก
Clay จากประเทศเยอรมัน
ยาง (ใช้ทำยางลบ) จากประเทศมาเลเซีย
แร่พลวง (ใช้เป็นตัวเชื่อมของ Graphite กับ Clay) จากประเทศเบลเยี่ยม และตามบริเวณชายฝั่งของประเทศเดนมาร์กเท่านั้น
ไม้ที่นำมาห่อหุ้มแท่งดินสอส่วนใหญ่จะทำจาก "ไม้ซีดา" ที่มีอายุ 200 ปีขึ้นไป เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม โดยนำมาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย จะพบบนเขาสูงๆเท่านั้น ( ไม้ซีดาเป็นไม้ที่มีเนื้ออ่อนและเหลาง่าย )
กระบวนการในการทำดินสอ
นำไม้ที่ตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเล็กๆ ( ขนาด 3 X 3 นิ้ว ) ไปตากแดดหรืออบจนแห้งสนิทจากนั้นจึงนำมาตัดให้เป็นแผ่นบางๆ หนา 5 ม.ม. ( ครึ่งหนึ่งของความกว้างของดินสอ) แล้วจึงนำไปเข้าเครื่องเซาะร่องสำหรับบรรจุไส้ดินสอ หลังจากนั้นใช้ไม้อีกชิ้นหนึ่งมาประกบด้วยการติดกาว เข้าเครื่องตัดเป็นแท่ง พ่นสี ติดตรา และติดยางลบ ก่อนที่จะนำออกจำหน่ายต่อไป ซึ่งบริษัทผู้ผลิตสามารถผลิตดินสอให้แตกต่างในการใช้งานได้กว่า 300 ชนิด รวมทั้งดินสอที่สำหรับใช้ในทางศัลยกรรมของแพทย์ เนื่องจากดินสอชนิดนี้สามารถนำมาขีดเขียนบนผิวหนังของคนไข้ได้
รูปร่างและขนาดของดินสอ
ดินสอมาตรฐานมีความยาว 7 นิ้ว แท่งหนึ่งๆสามารถลากเส้นได้ยาวถึง 35 ไมล์ เขียนได้อย่างน้อย 45,000 คำ เหลาดินสอ 17 ครั้ง จะเหลือเศษความยาวเพียง 2 นิ้ว บางชนิดจะติดยางลบ ไว้ด้วยเพื่อให้สะดวกในการใช้งาน สีที่นิยมใช้มากที่สุด คือ สีเหลือง บริษัทผู้ผลิตได้พยายามทำออกจำหน่ายหลายสีด้วยกัน เช่น สีเขียว สีแดง สีน้ำเงิน แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับสีเหลือง







9H 8H 7H 6H 5H 4H 3H 2H H F HB B 2B 3b 4B 5B 6B 7B 8B 9B



อ่อนที่สุด → ปานกลาง → ดำที่สุด





ชนิดของดินสอ
ปัจจุบันดินสอแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ
ดินสอดำ ( Lead Pencil ) คือดินสอที่นิยมใช้กันทั่วๆไป ไส้ดินสอทำจากถ่านแกรไฟต์ผสมกับดินเหนียว ( Clay ) ใช้ตัวอักษร B ( Black ) และ H ( Hard ) กำหนดความแข็งและความเข้มของไส้ดินสอ ขนาด 6 B จะมี Clay ผสมน้อย ส่วนขนาด 6 H จะมี Clay ผสมมากที่สุด ดินสอที่มีความเข้มน้อยจะใช้ในการร่างภาพ ส่วนดินสอที่มีความเข้มมากจะใช้ในการแรเงา
ดินสอคาร์บอน ( Carbon Pencil ) หรือดินสอถ่าน ทำจากส่วนผสมของถ่านไม้ (Charcoal) ไส้ดินสอดำคล้ายถ่านไม้ มีชนิดแข็งและอ่อน ลำดับจาก HH (แข็งมาก),HB(ปานกลาง ), B(ไส้อ่อนแต่ดำ),BB (ดำมาก),BBB (ดำที่สุด) บางบริษัทใช้ตัวอักษร E แทนตัวอักษร B
**************************************


วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เทศกาลกินเจ

ทศกาลถือศีลกินเจ







ประเพณีการกินเจกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน


ตำนานที่ 1
ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งได้ต่อสู้กับชาว
แมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาวเพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ

ตำนานที่ 2
เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชา
พระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว

ตำนานที่ 3
ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่าย
มหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ

ตำนานที่ 4
กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของ
ราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง

ตำนานที่ 5
1500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย
คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

ตำนานที่ 6
ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป
เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น

ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต
มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจและสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน



ความหมายของ เจ
คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า
อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว
แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ
แจมิได้แปลว่า อุโบสถ
ในภาษาจีนมี(กลุ่ม)คำหรือวลีที่ใช้อักษรแจ(เจ, 齋 / 斋 )เป็นตัวประกอบร่วมด้วยหลายคำ แต่คำว่าโป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) ซึ่งเป็นศัพท์ของทางพุทธศาสนา ดูจะเป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อธิบายความหมายของอักษรแจเสมอมา
โป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) แปลว่า ศีลบริสุทธิ์แปดประการ ซึ่งก็คือ “ศีลแปด”ที่เรารูจักกันดี
คนไทยในรุ่นปู่ย่าตายายที่เคร่งในศีลวัตรจะไปอาราธนาศีลแปดจากพระสงฆ์ในวันธรรมสวนะภายในพระอุโบสถ ศีลแปดจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ อุโบสถศีล ”
ผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกินเจที่ไม่เข้าใจภาษาและที่มาของคำจึงแปลอักษรแจผิดว่า “อุโบสถ” ซึ่งคำแปลนี้ก็ฮิตติดตลาดและถูกคัดลอกไปใช้บ่อยอย่างน่ารำคาญใจ เพราะหากจะเอาตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานแล้ว
อุโบสถ เป็นคำนาม หมายถึง สถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรมต่างๆ เรียกย่อว่า โบสถ์
การแปลและเข้าใจคลาดเคลื่อนดังกล่าวยังถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการอธิบายวัตรปฏิบัติของการกินเจผิดตามไปด้วยว่า “การกินเจต้องถือศีลข้อวิกาลโภชน์” หรือการงดกินของขบเคี้ยวหลังเที่ยงวันไปแล้ว ซึ่งเป็นศีลข้อหนึ่งในศีลแปด ทั้งๆที่โรงครัวของศาลเจ้าหรือโรงเจที่เปิดเลี้ยงผู้คนในช่วงเทศกาลกินเจล้วนแต่มีอาหารมื้อเย็นให้กับผู้เข้าไปกิน ยิ่งวันที่มีการประกอบพิธีกรรมในตอนค่ำยังมีอาหารมื้อค่ำบริการเสริมให้เป็นพิเศษด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงเทศกาลกินเจนั้นเขาถือเพียงศีลห้าที่เป็นนิจศีล ไม่ได้ครองศีลแปดอย่างที่หลายคนเข้าใจ (เว้นแต่ผู้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะครองศีลแปดเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)
ในทางอักษรศาสตร์จีน อักษรตัว “แจ” มีพัฒนาการมาจาก ตัวอักษร ฉี “ 齊 ” ซึ่งแปลว่าบริบูรณ์ , เรียบร้อย อักษรแจเกิดจากการเพิ่มเส้นตั้งและสองจุด ( 小 ) เข้าไปกลางอักษรฉี ทำให้เกิดตัว ซื ( 示 ) ซึ่งแปลว่าการสักการะ อยู่ในแก่นกลางของตัวฉี
แจ( 齋 ) จึงมีความหมายว่า การรักษาความบริสุทธิ์(ทั้งกายและใจ)เพื่อการสักการะ หรือ การปฏิบัติบูชาถวายเทพยดา
ซึ่งการอธิบายในแนวทางนี้จะสอดคล้องกับ คำว่า “ 齋醮 ” ในลัทธิเต๋า ซึ่งย่อมาจากคำว่า 供齋醮神 ที่แปลว่าการบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นสักการะบูชาเทพยดา
ความหมายของแจในศาสนาอิสลาม
ศัพท์คำว่า ศีลแจ / 齋戒 ในภาษาจีน นอกจากใช้ในลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธแล้ว ยังหมายถึง “ศีลอด” ที่ถือปฏิบัติในเดือนถือศีลอดของชาวจีนอิสลาม สาระของศีลก็คือการห้ามรับประทานอาหารใดๆในระหว่างเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจวบจนลับขอบฟ้า ตลอดเดือนถือศีลอด
แจในวัฒนธรรมดั่งเดิมของจีน
ศัพท์ แจ พบในเอกสารจีนเก่าที่มีอายุกว่าสองพันปีหลายฉบับ เช่น 禮記 , 周易 , 易經 , 孟子 , 逸周書 (เอกสารที่อ้างนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นคัมภีร์ในลัทธิหยู) เอกสารเหล่านั้นยังใช้อักษรตัวฉี(齊 )แต่เวลาอ่านออกเสียงกลับต้องอ่านออกเสียงว่า ไจ เช่น คำว่า ไจเจี๋ย / 齊潔 หรือ ไจเจี้ย / 齊戒 ซึ่งก็คือการออกเสียงแจในสำเนียงแต้จิ๋วนั่นเอง อักษรฉีในเอกสารนั้นนักอักษรศาสตร์ตีความว่าแท้จริงแล้วก็คืออักษรตัวแจหรือใช้แทนตัวแจ แจที่ว่านี้หาได้หมายถึงการงดกินของสดคาว หรือ การงดรับประทานอาหารหลังเที่ยง หากหมายถึงการชำระล้างร่างกาย สงบจิตใจ และสวมใส่เสื้อผ้าใหม่สะอาด เป็นการเตรียมกายและใจให้บริสุทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมสักการะบูชา ขอพร หรือแสดงความขอบคุณต่อเทพยดาแห่งสรวงสวรรค์
แจเพื่อการจำแนกความเคร่งครัดของภิกษุฝ่ายมหายาน
ศีลของภิกษุฝ่ายมหายาน ในส่วนเกี่ยวกับการฉันของภิกษุแตกต่างจากฝ่ายเถรวาททั้งมีการจำแนกเป็นสองลักษณะตามสำนักศึกษาได้แก่
1.เหล่าที่ถือมั่นในศีลวิกาลโภชน์และฉันอาหารเจ จะไม่ฉันอาหารหลังอาทิตย์เที่ยงวัน เรียก ถี่แจ /持齋
2.เหล่าที่ถือมั่นแต่การฉันอาหารเจ เรียกถี่สู่ /持素
เจียะแจ
ความหมาย
เจียะแจ (食齋 ) เป็นการออกเสียงตามสำเนียงถิ่นแต้จิ๋ว ศัพท์คำนี้ใช้และเป็นที่เข้าใจแต่ทางตอนใต้ของจีนโดยเฉพาะแถบลุ่มอารยะธรรมหลิ่งหนาน (領南)ในมณฑลกวางตุ้ง อันเป็นแหล่งอาศัยดั่งเดิมของคนแคะ แต้จิ๋ว กวางตุ้งและไหหนำ ซึ่งเป็นชาวจีนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย เจียะแจตรงกับคำว่า ชือซู ( 吃素 )ในภาษาจีนกลาง (สำเนียงปักกิ่ง)
เจียะ ( 食 ) ในภาษาถิ่นใต้ หากใช้ในความหมายของคำกิริยา แปลว่า กิน
แจ ( 齋 ) แปลว่า บริสุทธิ์ ( 清淨 ) ( อ้างตามปทานุกรมพุทธศาสนาฉบับ วัดฝอกวงซัน ,ไต้หวัน )
เจียะแจ หรือ ตรงกับคำไทยที่นิยมใช้กันว่า กินเจ จึงแปลว่า การกินอาหารที่บริสุทธิ์ตามความเชื่อ(ในลัทธิกินเจ) ซึ่งหมายความถึงอาหารที่ไม่คาวหรือไม่เจือปนซากผลิตภัณฑ์ของสัตว์ รวมทั้งไม่ปรุงใส่พืชผักต้องห้าม
คำว่าเจียะแจนี้ชาวจีนฮกเกี้ยนทางปักษ์ใต้แถบจังหวัดภูเก็ตเรียกต่างออกไปว่า เจียะไฉ่ (食菜) ที่แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กินผัก” แต่มีนิยามหรือความหมายตรงกับคำว่าเจียะแจที่กล่าวข้างต้น



กินเจเพื่ออะไร?
ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภท
ชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

พืชผักผลไม้ถือว่าเป็นยาดีๆ นี่เอง

ประโยชน์
การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลและรักษาประเพณีแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
เมื่อรับประทานเป็นประจำโลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลงทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัวร่างกายแข็งแรงรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดี
อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์
ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่
สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช
ยาฆ่าแมลง สารดีดีที
มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและยังพบว่ามีปะปนอยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย
กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ
ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดาสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในบรรดาผู้ที่กินอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฏโดยเฉพาะโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น
โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวานฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ

หลักธรรมในการกินเจ
ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้
การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการคือ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเองและดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ
ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน
ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน
ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน
การรับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย
ดังนั้นการกินเจจึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกันคนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่นร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ
ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วยสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้
งดเว้นเนื้อสัตว์หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งด
นม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น
ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ สิ่งเสพติดและของมึนเมาต่างๆ
รักษา
ศีลห้า
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
ทำบุญทำทาน
นุ่งขาวห่มขาว
สำหรับผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุด
ตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้องตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด